โรคเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อ HIV เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถแบ่งตัวได้ในเซลล์บางชนิดของมนุษย์ เช่นในเซลล์เนื้อสมองหรือเซลล์เม็ดเลือดขาวบางชนิด ซึ่งจะทำให้มีการติดเชื้อในร่างกายของเรา
และหลังจากนั้น ในร่างกายของเราก็จะสร้างภูมิต้านทานต่อโปรตีนบางชนิดของไวรัส แต่มันไม่สามารถกำจัดเชื้อเอดส์ให้หมดไปจากร่างกายของเราได้ เชื้อไวรัสจึงยังคงอาศัยอยู่ในเม็ดเลือด และสามารถแพร่โรคต่อไปได้อีกเพราะเชื้อไวรัสมันจะไปทำลายเม็ดเลือดขาวชนิดที่มีความสำคัญ ต่อการสร้างภูมิต้านทานของเรา เพราะฉะนั้นจึงทำให้เรามีภูมิต้านทานที่ลดลง จนทำให้เราติดเชื้อโรคชนิดฉวยโอกาสหรือโรคมะเร็งบางชนิดได้ง่าย เช่น การติดเชื้อจากเชื้อปรสิต เชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อไวรัสตัวอื่นๆ ผู้ป่วยโรคนี้จึงมักจะมีอาการรุนแรงและเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การมีเพศสัมพันธ์หรือมีการติดต่อกันผ่านทางน้ำลายและเข็มฉีดยาก็อาจจะติดโรคนี้ได้ง่าย หากไม่ระมัดระวัง เป็นโรคที่ร้อยละ 70% จะตายสถานเดียว ดังนั้น ควรได้รับการรักษาแต่เนิ่นๆ
สาเหตุของการเกิดโรคเอดส์ที่สำคัญ
เกิดจากการใช้เข็มฉีดยาร่วมกันหรือการมีเซ็กซ์โดยไม่ป้องกัน และผ่านทางการสัมผัสเชื้อทางน้ำลาย ซึ่งโรคนี้เป็นโรคที่คร่าเอาชีวิตผู้คนไปมากมาย เพราะจากการไม่ป้องกันตัวเอง และการใช้สารเสพติดที่ต้องใช้เข็มร่วมกัน และที่สำคัญส่วนใหญ่กว่าที่โรคนี้จะแสดงอาการหรือแสดงผลให้ทราบว่าเป็นโรค HIV จะต้องใช้ระยะเวลา 3 – 4 ปีเลยทีเดียว ซึ่งในขณะนั้นส่วนใหญ่ก็จะยากต่อการรักษา สามารถอยู่ได้แค่อีก 1 – 2 ปีเท่านั้น ก็จะเสียชีวิต ได้แต่เยียวยาไปตามอาการ เพราะไม่ได้ตรวจเลือด หรือได้รับการรักษาให้ดีเสียก่อน เพราะฉะนั้น เราจึงควรเลี่ยงต่อสารเสพติดต่างๆ ไม่ริลองยาหรือใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น ควรตรวจเลือดในมุกปี ก่อนมีเพศสัมพันธ์ ควรใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการติดโรค และยังสามารถป้องกันการมีลูกโดยไม่ตั้งใจได้อีกด้วย หากร่างกายได้รับเชื้อเอดส์ไประยะหนึ่งแล้ว เราก็จะเริ่มรู้สึกถึงการผิดปกติของผิวหนังที่จะมีตุ่มใสๆ แขนขาเริ่มชา และเริ่มมีอาการปวดหัวอย่างรุนแรง เพราะโรคนี้จะเกิดขึ้นที่เม็ดเลือดขาวโดยเฉพาะ
และเมื่อเรารู้ตัวแล้ว ควรจะรีบได้รับการรักษา เพราะหากไม่ได้รับการรักษาแล้วก็จะอยู่ได้อีกไม่นาน จะเริ่มเจอระยะรุนแรงของโรคนี้ขึ้นเรื่อยๆ หากไม่อยากเป็นโรคที่อันตรายเช่นนี้ ทางที่ดีเราควรป้องกันตัวเองดีที่สุด
