ดูแลตัวเองตามหลัก Anti-Aging อายุเยอะอย่างไร ไม่ให้อ้วนง่าย?! ซึ่งปัญหาเรื่องความอ้วนเหล่านี้ หลายครั้งพบว่าเกิดจากปัจจัยภายในด้วย เพราะบางคนแม้จะกินเท่าเดิม หรือกินน้อยลง และได้พยายามออกกําลังกายแล้ว แต่น้ำหนักก็ยังไม่ลดลงเลย ซึ่งปัญหานี้ อาจต้องตรวจดูว่า มีความผิดปกติในร่างกายเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น อาจมีการแพ้อาหารแฝง ธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำแฝง สารพิษสะสมในร่างกาย ภาวะเครียด ภาวะดื้ออินซูลิน ภาวะฮอร์โมนแปรปรวน 

 

ดูแลตัวเองตามหลัก Anti-Aging
ภาพจาก antiagingart.co.za

 

ซึ่งถ้าเกิดภาวะเหล่านี้ ต่อให้ใช้นวัตกรรมที่ทันสมัยแค่ไหนมาช่วยลดน้ำหนัก ก็คงไม่เป็นผล การแก้ไขจึงต้องใช้ศาสตร์ Anti-Aging เข้าไปแก้ที่ตัวต้นเหตุ ศาสตร์แห่งการชะลอวัย เป็นสิ่งที่จะมาช่วยฟื้นฟูปัจจัยเชิงบวกให้เสริมเด่นขึ้น และช่วยลดปัจจัยเชิงลบให้เกิดน้อยลง ยิ่งถ้าใช้ศาสตร์นี้ควบคู่กับการใช้นวัตกรรมต่างๆ ร่วมด้วยแล้ว นอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพให้ดียิ่งขึ้น ยังทําให้ไม่ต้องไปพึ่งพานวัตกรรมเหล่านั้นบ่อยๆ ผลการรักษาอยู่ได้นานขึ้นอีกด้วย นวัตกรรมบางอย่างทําไปแล้วอยู่ได้ 1 – 2 ปี แต่บางคนทําไปเพียง 6 เดือน ก็ต้องกลับมาทําซ้ำอีก นั่นเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งบอกได้ว่า ระบบภายในไม่ได้ช่วยอะไรเลย

 

ดูแลตัวเองตามหลัก Anti-Aging ช่วยอะไรได้บ้าง?

ปัจจัยภายในที่ส่งผลต่อสุขภาพและความงาม ที่สําคัญได้แก่ฮอร์โมน อายุ พันธุกรรม สําหรับอายุ และพันธุกรรม เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ ส่วนเรื่องฮอร์โมน แม้ว่าพออายุมากขึ้น ฮอร์โมนต่างๆ จะลดลงก็ตาม แต่จะลดไม่เท่ากันในแต่ละคน ในคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่แย่ๆ หรือมีปัจจัยเชิงลบมากๆ ฮอร์โมนเหล่านี้จะลดลงเร็ว กว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์ที่ดีๆ หรือมีปัจจัยเชิงลบน้อยกว่า เมื่อพูดถึงฮอร์โมน หลายคนจะนึกถึงวัยทอง ซึ่งเป็นวัยที่ฮอร์โมนเพศหญิง เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน ซึ่งเกิดจากรังไข่ ซึ่งจะหมดเมื่ออายุ ประมาณ 48-52 ปี

 

ดูแลตัวเองตามหลัก Anti-Aging
ภาพจาก westerndesertresources.com

ส่วนในผู้ชายค่อนข้างโชคดี ที่ไม่มีการหมดอายุของอัณฑะ ทําให้ฮอร์โมนเพศชายหรือเทสโตสเตอโรน ผลิตได้ตลอดชีวิต แต่จะเริ่มผลิตน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น จนไม่พอใช้ ก็จะมีอาการขาดหรือบกพร่องให้เห็นได้เช่นกัน แต่ใช่ว่าคนเราจะแก่เมื่อฮอร์โมนหมดเท่านั้น บางคนแก่ตั้งแต่อายุ 30 นั่นเป็นเพราะไม่ได้มีแค่ฮอร์โมนเพศอย่างเดียวเท่านั้น ที่มีผลกระทบต่อความหนุ่มความแก่ของเรา แต่ยังขึ้นอยู่กับฮอร์โมนที่สําคัญๆ อื่นๆ ด้วย อาทิ

ธัยรอยด์ฮอร์โมน
เป็นฮอร์โมนที่ช่วยเพิ่มความกระฉับกระเฉง ช่วยในการเผาผลาญพลังงาน เมื่อการทํางานของธัยรอยด์ฮอร์โมนลดลง การเผาผลาญก็จะน้อยลงตาม ส่งผลให้มีอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย ขี้เกียจ สมองมึนงง ขี้หลงขี้ลืม ท้องผูก และที่พบบ่อยที่สุดคือ น้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่สามารถควบคุมได้ ปัจจัยที่ทําให้ธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ ที่พบบ่อยที่สุดคือไลฟ์สไตล์ เช่น ความเครียด อดอาหารเพื่อลดน้ำหนัด การขาดสารอาหาร ขาดวิตามิน โลหะหนักปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม ฯลฯ 

 

ดูแลตัวเองตามหลัก Anti-Aging

 

ฮอร์โมนคอร์ติซอล
เป็นฮอร์โมนแห่งความเครียด ซึ่งพบว่าฮอร์โมนชนิดนี้ เป็นฮอร์โมนที่ลดลงกว่าวัยอันควรบ่อยที่สุด มากกว่าไทรอยด์ฮอร์โมนซะอีก คือพบได้ ถึง 70-80 เปอร์เซ็นต์ ส่งผลให้เหนื่อยง่าย สมรรถภาพทางร่างกายลดลง มีปัญหาผิวพรรณ เช่น ฝ้า กระ ต่างๆ ทนต่อความเครียดได้น้อย รูปลักษณ์ภายนอกจะดูแก่เร็ว รวมถึงเกิดไขมันสะสมตามส่วนต่างๆ ของร่างกายมากขึ้น ปัจจัยที่ทําให้ฮอร์โมนชนิดนี้ลดต่ำลง เกิดจากไลฟ์สไตล์ที่เคร่งเครียด และการใช้ชีวิตประจําวันแบบไม่ถูกต้อง 

การดูแลตัวเองตามหลัก Anti-Aging
เป็นการดูแลตัวเองแบบองค์รวม ทั้งภายในและภายนอกควบคู่กันไป และต้องทําทุกวันอย่างต่อเนื่อง ผลลัพธ์ที่ได้ จะไม่ใช่แค่เรื่องของความงามเพียงอย่างเดียว แต่ยังจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพของอวัยวะส่วนอื่นๆ ด้วย เป็นศาสตร์ที่ช่วยแก้จากต้นเหตุ สร้างสุขภาพที่ดีจากภายในสู่ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์ ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของอาหารการกิน เช่น ต้องทานมื้อเช้า  ส่วนหลัง 6 โมงเย็นไม่ควรทาน อาหารที่ทานควรเป็นอาหารที่มาจากธรรมชาติ หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการแปรรูป และหลีกเลี่ยงน้ำตาล 

 

ดูแลตัวเองตามหลัก Anti-Aging

 

อาหาร 3 กลุ่ม ที่ควรเน้น คือโปรตีน วิตามิน และเกลือแร่ นอกจากนี้ อาหารเสริมก็เป็นเครื่องมือที่สาคัญอย่างหนึ่ง เพราะในแต่ละวัน เราอาจได้รับสารอาหารไม่เพียงพอกับความต้องการ แต่อาหารเสริมที่เราเลือก ก็ต้องมีขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ไม่มีสารพิษหรือสารปนเปื้อนม

………………………………………………………….

แต่อย่างไรก็ตาม การทานอาหารที่สดจากธรรมชาตินั้น มีประโยชน์มากกว่าการทานวิตามิน เพราะมีสารในกลุ่มพฤษเคมี ที่มีความเสถียรมากกว่า นอกจากนี้ ยังรวมถึงเรื่องของการออกกําลังกาย การพักผ่อนนอนหลับ การจัดการกับความเครียดต่างๆ ฯลฯ 

 

เนื้อหาโดย Dodeden.com

 

เรื่องน่าสนใจ