ฝ้ากวนใจ กับปัญหาที่พบ และหนทางการรักษาที่ได้ผล ซึ่งระยะเวลาในการรักษาฝ้า จุดด่างดํา ขึ้นอยู่กับสภาพ และปัญหาของฝ้าที่เกิดขึ้นว่ามีมากน้อย เพียงใด โดยจะสามารถเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในการทําการรักษาในครั้งที่ 2 เป็นต้นไป และการรักษาฝ้า ยังอาจมีข้อจํากัดอยู่มาก ดังนั้น การตัดสินใจเลือกวิธีการรักษา จึงควรทําด้วยความระมัดระวัง
ฝ้าเมลานิน
เป็นฝ้าที่เกิดจากแสงแดดทําลายชั้นผิว มักจะเกิดบริเวณข้างแก้ม
ฝ้าเส้นเลือด
มักจะเกิดบริเวณโหนกแก้ม
ฝ้าผสมเมลานินและฝ้าเส้นเลือด
สําหรับฝ้าเส้นเลือดในปัจจุบัน มีการเกิดสูงขึ้นถึง 90% ส่วนฝ้าเมลานินเกิดขึ้นแค่ 10% ฝ้าเส้นเลือดในที่นี้ คือฝ้าที่เกิดจากการรบกวนผิว มลภาวะ และการใช้เครื่องสําอางที่มีส่วนประกอบของสารที่ไปกระตุ้นการเกิดฝ้า พวก Whitening ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคที่ซื้อ อาจเป็นเพราะโฆษณาชวนเชื่อ และรู้เท่าไม่ถึงการณ์ คนไข้ที่มารักษากับแพทย์ ส่วนใหญ่แล้วเป็นฝ้าที่เกิดจากการรบกวนผิวดังกล่าว ฝ้าเส้นเลือด เกิดจากเส้นเลือดบริเวณใบหน้าเสียสภาพ ไม่สามารถกักเก็บเลือดได้ ทําให้เลือดซึมออกมาใต้ผิวหนัง เป็นรอยแดงคล้ายเส้นเลือด ซึ่งสีของฝ้าเส้นเลือด สามารถเปลี่ยนได้ตามอุณหภูมิการแสดงอารมณ์ โดยในตอนเช้า สีจะออกชมพู แต่เมื่อเวลาโดนแดดจัด สีจะคล้ำจนเป็นสีดํา นอกจากนี้ ผิวหนังจะมีความรู้สึกไว แสบง่าย ส่วนมากมักจะเกิดกับคนที่มีลักษณะของเซลล์ที่มีความผิดปกติ หรือแตกตัวผิดปกติ เช่น คนคนที่เป็นรังแค กลุ่มนี้เป็นกลุ่มผิวแพ้ง่าย
แนวทางการรักษาฝ้า และวิวัฒนาการของการรักษา
คือการระงับในการสร้างสีผิว ปกติการสร้างเซลล์ผิว เกิดจากการทํางานของฮอร์โมน แต่บางครั้งการจะควบคุมการสร้างเซลล์เม็ดสีผิว เป็นสิ่งที่ทําได้ยาก ดังนั้นวิธีการที่ถูกต้อง ควรเลือกใช้สารที่สามารถหยุด หรือระงับการสร้างเมลานินโดยไม่ทําให้เซลล์สร้างสีตาย เพราะถ้าใช้สารทําลายเซลล์สร้างสีแล้ว ร่างกายจะขาดสารอาหารสําคัญ ในการป้องกันผิวหนังจากแดดเผา
ปัจจุบันวิวัฒนาการในการรักษาฝ้า ไม่ใช่การยับยั้ง แต่จะไประงับการทํางานของเซลล์เมลานิน สร้างเม็ดสีที่ทําให้ฝ้า ซึ่งเป็นการระงับที่ต้นเหตุ หากต้องการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่รักษาฝ้า ควรได้รับคําแนะนําจากแพทย์ เพราะว่าแพทย์จะทําการวินิจฉัย สาเหตุของการเกิดฝ้า เพื่อการรักษาที่ต้นเหตุและตรงจุด ไม่ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่วางขายตามท้องตลาด เพราะฝ้าจะไม่หาย แต่จะเพิ่มรอยดําให้อีก อย่างนี้อาจทําให้เครียดมากกว่าเดิม สําหรับกลุ่มที่เสี่ยงต่อการเกิดฝ้า คือกลุ่มคนผิวขาว แต่อย่างไรก็ตาม คนที่มีผิวเข้มทั้งหญิงและชาย ก็มีสิทธิเป็นได้เช่นกัน
รักษารอยคล้ำจากฝ้าให้จางลง
ส่วนการรักษาให้รอยคล้ำจากฝ้าจางให้ลง มีได้หลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดี และข้อเสียแตกต่างกันไป วิธีที่ง่ายและสะดวก คือการรักษาด้วยการทายา ผลิตภัณฑ์ เครื่องสําอาง หรือยาทาที่ใช้ในการรักษานั้น แบ่งออกได้เป็นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มที่เร่งการขจัดเซลล์หนังกําพร้า มีผลทําให้เม็ดสีเมลานินถูกกําจัดออกไปได้เร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้ หรือ Alpha Hydroxy acid (AHA) และกรดวิตามินเอ เป็นต้น กลุ่มยาหรือผลิตภัณฑ์ เครื่องสําอางที่มีผลลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เช่น ยาไฮโดรคิวโนน (Hydroquinone) กรดโคจิค (Kojic acid) หรือเจลวิตามินซี ผลการรักษาจะต้องใช้ระยะเวลา 4 ถึง 8 สัปดาห์ จึงเห็นการเปลี่ยนแปลง และมักได้ผลในกรณีที่ฝ้าเกิดในชั้นหนังกําพร้า ส่วนกระอาจจะจางลงได้บ้าง
กรอผิวชนิด Microdermabrasion
เป็นอีกวิธีหนึ่งที่มีผู้นํามาใช้ในการรักษา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเร่งการขจัดเซลล์ชั้นหนังกําพร้าให้ลอกหลุดเร็วขึ้น ได้ผลสําหรับฝ้าและกระที่อยู่ในชั้นตื้นๆ ข้อควรระวังคือ อาจทําให้ผิวเกิดการระคายเคืองง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ากําหนดระดับความแรงในการทํางานของเครื่องมือสูงมากเกินไป อาจทําให้เกิดบาด แผลถลอก และมีเลือดออกได้
การรักษาด้วยเครื่องไอออนโตฟอรีซิส
อาศัยหลักการให้กําเนิดกระแสไฟฟ้าในระดับอ่อนๆ และมีผลช่วยผลักยา หรือวิตามินที่เราทาไว้ก่อนบนผิวหน้า ให้ซึมผ่านผิวหนังเข้าไปได้เพิ่มมากขึ้น หรือออกฤทธิ์ได้ดียิ่งขึ้น การรักษาด้วยวิธีนี้ มีผลข้างเคียงน้อย อาจมีอาการระคายเคืองได้บ้าง แต่มักไม่รุนแรง อย่างไรก็ตาม ผลการรักษายังไม่ได้รับการพิสูจน์ทางการแพทย์ว่าได้ผลดีอย่างชัดเจน
สําหรับเทคโนโลยีของเลเซอร์ และเครื่องให้กําเนิดแสงความเข้มสูง (Intense Pulsed Light หรือ IPL) เป็นการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบัน ถึงแม้เลเซอร์และ IPL จะมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่แตกต่างกัน แต่กลไกในการทํางานใช้หลักการเดียวกัน กล่าวคือ เครื่องมือทั้งสองชนิด ให้กําเนิด พลังงานแสงไปยังบริเวณผิวหนังที่มีรอยคล้ำจากกรฝ้า ผิวหนังในส่วนที่มีเม็ดสีเมลานินที่มีปริมาณมากกว่าปกติ จะดูดซับพลังงานแสง แล้วเปลี่ยนเป็นพลังงานความร้อน มีผลทําให้เม็ดสีเมลานินในบริเวณนั้นถูกทําลาย และมีจํานวนลดลง มีผลทําให้ฝ้านั้นจางลงหรือหายไป เห็นผลการรักษาได้ค่อนข้างรวดเร็ว
………………………………………………………………………
อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยวิธีนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง และเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าทําการรักษาโดยผู้ที่ขาดความรู้ความชํานาญ และที่สําคัญ กระและฝ้ายังจะกลับมาเป็นใหม่ได้อีก เมื่อหยุดการรักษา ทั้งนี้ เพราะเลเซอร์และ IPL สามารถกําจัดเม็ดสีส่วนเกินในผิวหนังได้ แต่ไม่สามารถป้องกันการเกิดเม็ดสีที่สะสมขึ้นมาใหม่ ดังนั้น ภายหลังการรักษาด้วยเลเซอร์หรือ IPL ยังคงต้องทายาเพื่อลดจํานวนเม็ดสี ร่วมกับการใช้ครีมกันแดดเป็นประจําด้วยนะคะ 🙂
>> ฝ้า กระ จุดด่างดำ ปัญหาผิวของสาวเมืองร้อน
เนื้อหาโดย Dodeden.com