เสน่ห์ความแซ่บสไตล์หวานนอกแกร่งในตามแบบฉบับสาวไทย กำลังฮิตฮอตมาแรงทั่วโลก โดยเฉพาะบนเวทีนางแบบระดับอินเตอร์ มีสาวไทยไปสร้างชื่อเสียงไว้โดดเด่นน่าจับตามองหลายคน
ปลุกกระแสทอล์ก ออฟเดอะทาวน์โด่งดังไปทั่วโลกโซเชียลยามนี้ ไม่มีใครเกินหน้า “ใบตอง-อนุธิดา พลอยเพชร” สาวไทยแท้ๆใบหน้าคมเข้ม วัย 17 ปี สร้างชื่อเสียงลือลั่น ด้วยการเข้าประกวดเวทีนางแบบระดับโลก “Germany’s next Topmodel 2015” ของซุปเปอร์โมเดล “ไฮดี้ คลุม” งานนี้ แม้ทำดีที่สุดได้แค่ที่สอง ชวดโอกาสเซ็นสัญญานางแบบ มูลค่า 250,000 ยูโร แต่ “ใบตอง” หรือ “อนู” ชื่อที่เพื่อนๆต่างชาติเรียกกัน ก็พิสูจน์ตัวเองว่าสามารถฝ่าด่านผู้เข้าแข่งขันนับหมื่นมาจนถึงรอบสุดท้าย กลายเป็นขวัญใจผู้ชมชาวเยอรมัน รวมถึงแฟนๆคนไทยที่ส่งแรงเชียร์
สำหรับประวัติของ “ใบตอง” เป็นน้องสาวคนเล็กของ “ดีเจมะตูม-เตชินท์ พลอยเพชร” เธอย้ายตามคุณแม่และพี่ๆไปอยู่เยอรมนีตั้งแต่อายุ 2 ขวบ หลังจากพ่อแม่แยกทางกัน โดยคุณพ่อเป็นอดีตสมาชิกวงเดอะ เจนเนอเรชั่น ที่โด่งดังมากในเมืองไทยยุค 80 ปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่อเมริกา สาวน้อยคนดังใฝ่ฝันอยากเป็นนางแบบตั้งแต่เล็กๆ
โดยมีพี่ชายเป็นผู้ผลักดัน “ดีเจมะตูม” เล่าว่า เมื่อ 10 ปีก่อน ติดรายการ “Germany’s next topmodel” มาก จึงใฝ่ฝันอยากให้น้องสาวเข้าประกวด และพยายามบิวท์น้องสาวตั้งแต่เล็กๆ เพราะเห็นหน่วยก้านดี เมื่ออายุครบ 16 ปี ตามเกณฑ์การรับสมัคร พี่ชายจอมดันก็จูงมือน้องสาวไปสมัครทันที ทั้งๆที่ตัวตนจริงขี้อายมาก แต่พอเวลาเจอกล้อง เจอแสงไฟ “ใบตอง” จะเจิดจรัสเปลี่ยนเป็นคนละคน “ใบตอง” เป็นเด็กกิจกรรมและเชียร์ลีดเดอร์ของทีมอเมริกันฟุตบอลโรงเรียน มีเสน่ห์อยู่ที่ความสดใสยิ้มง่าย ถึงจะไม่ได้ที่หนึ่งบนเวทีประกวดนางแบบโลก แต่อนาคตของ “ใบตอง” ก็รุ่งโรจน์แน่นอน เพราะเป็นสาวไทยคนแรกที่ได้ขึ้นปก COSMOPOLITAN เยอรมนี…น่าภูมิใจจริงๆ!!
อีกหนึ่งสาวไทยสุดฮอตที่ทำให้ชาวโลกต้องหันมามองด้วยความอะเมซซิ่งคือ “คริสซี่ ไทเจน” นางแบบชาวอเมริกัน ลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ วัย 29 ปี เป็นที่สนใจของคนไทยภายในชั่วข้ามคืน เพราะกล่าวทักทายภาษาไทยออกสื่อทั่วโลก ด้วยคำว่า “สวัสดีค่ะ” ระหว่างควงแขนสามีคนดัง “จอห์น เลเจนด์” นักร้องแกรมมี่ อะวอร์ด เจ้าของเพลงดัง “All Of Me” เดินพรมแดงประกาศผลรางวัลออสการ์ 2015
“คริสซี่” เป็นนางแบบลูกครึ่งไทย-นอร์เวย์ ที่ประสบความสำเร็จที่สุดในอเมริกา โด่งดังจากการถ่ายแบบชุดว่ายน้ำสุดฮอตให้นิตยสารแนวสปอร์ตเน้นเซ็กซี่ “Sports Illustrated” คุณพ่อเป็นชาวนอร์เวย์ ส่วนคุณแม่เป็นคนไทยแท้ๆจากโคราช เธอย้ายตามพ่อไปอยู่อเมริกาตั้งแต่เด็ก กระทั่งแตกเนื้อสาวเต็มตัว มีช่างภาพแมวมองไปเจอเธอขณะทำงานในร้านขายอุปกรณ์เล่นเซิร์ฟ จึงชักชวนเข้าวงการเดินแบบ และได้แจ้งเกิดเต็มตัวเมื่อขึ้นปก “Sports Illustrated” ต่อมาจึงมีผลงานถ่ายแฟชั่นให้นิตยสารดังเกือบทุกฉบับ นอกจากนี้ “คริสซี่” ยังสร้างชื่อจากการเป็นบล็อกเกอร์ทำอาหาร และทำรายการสอนทำอาหาร ทางช่อง Cooking Channel แต่มาดังระเบิดก็ตอนออกเดทกับนักร้องดัง “จอห์น เลเจนด์” เมื่อปี 2007 หลังจากนั้นก็หมั้นและแต่งงานกันในปี 2013 โดยเพลงฮิตทั่วโลก All Of Me เป็นเพลงที่ “จอห์น” แต่งให้ภรรยาสาวลูกครึ่งไทยโดยเฉพาะ
ถ้าพูดถึงสาวไทยที่ไปสร้างชื่อเสียงบนเวทีนางแบบโลก ก็ต้องมีชื่อของทายาทกันตนา “สตางค์-ดิษย์ลดา ดิษยนันทน์ กัลย์จาฤก” ลูกสาวสุดรักของ “ตุ๊กตา-จิตรลดา ดิษยนันทน์ กัลย์จาฤก” รวมอยู่ด้วย “สตางค์” บอกเล่าถึงชีวิตนางแบบโกอินเตอร์ ก่อนจะผันตัวมาเป็นผู้จัดละครรุ่นใหม่ว่า เริ่มต้นเป็นนางแบบอินเตอร์ ตอนอายุ 15-16 ปี ตอนนั้นไปเที่ยวกับคุณแม่ที่แอลเอ อเมริกา แล้วติดพอร์ตโฟลิโองานถ่ายแบบเมืองไทยไปด้วย เลยลองหาเอเจนซี่ที่โน่น ทั้งวอล์กอินเข้าไปคุย และส่งรูปผ่านเว็บไซต์
ปรากฏว่าได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่ใหญ่ที่นิวยอร์กคือ Elite Model Management เขาให้เวลาเตรียมตัว 3 อาทิตย์ กลับมาจัดการชีวิตที่เมืองไทย “สตางค์” ต้องลาออกจากโรงเรียนมาเรียนต่อที่นิวยอร์ก ตอนนั้นใจหนึ่งก็กลัว อีกใจคิดว่าถ้าไม่ลอง อาจต้องมานั่งเสียใจ โอกาสมาแล้ว ต้องลองเป็นประสบการณ์ เลยเดินหน้ามาเรียนต่อเกรด 10 ที่อเมริกา ระหว่างสัญญา 2 ปี ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย ชีวิตตอนนั้นทำทุกอย่างจริงๆ สนุกแต่เครียด เพราะเราต้องเตรียมตัวไปแคสงานเกือบทุกวัน บางวันมีงาน 15-20 แห่ง
โดยเฉพาะช่วงใกล้งานแฟชั่นวีก ทุกมุมถนนต้องเดินชนนางแบบ เวลาแคสงานต้องโชว์พอร์ตและเดินแบบให้เขาดู ถ้าเขาไม่สนใจก็ให้กลับเลย แต่ถ้าสนใจจะให้เราลองชุดต่อ แรกๆก็ไม่ชินจะเสียใจที่ถูกปฏิเสธ พอตอนหลังถือเป็นเรื่องปกติชินแล้ว เพราะที่เขาไม่เอา ไม่ใช่ความผิดของเรา แต่เขายังไม่ต้องการลุคแบบเรา ช่วงหลังหนังเลยเหนียวขึ้น
“ทำงานอยู่ 2 ปีเต็ม ส่วนใหญ่เป็นงานเดินแฟชั่นโชว์มากกว่าถ่ายแบบ งานจะชุกช่วงแฟชั่นวีก รายได้จากการเดินแบบถือว่าพออยู่ได้ เคยได้เยอะสุด 2 พันดอลลาร์สหรัฐฯ ในงานแฟชั่นโชว์ใหญ่ บางงานเดินแค่โชว์รูม เขาจ้างวันละ 500 ดอลลาร์สหรัฐฯ แต่เราทำอยู่แค่ 2 ปี พอเรียนจบไฮสคูล และเข้ามหาวิทยาลัยแล้ว ก็ไม่ได้ทำ เพราะเรียนหนักขึ้น ต้องมุ่งมั่นกับการเรียนมากกว่า พอนึกย้อนไปแล้วถือเป็นประสบการณ์ และกำไรชีวิตที่ดีมาก แต่การทำงานตรงนี้ไม่ง่าย ต้องรักงานนี้จริงๆ และต้องอดทนสูง ที่สำคัญต้องไม่กลัวการถูกปฏิเสธ ต้องมีใจลุกขึ้นสู้เสมอ ช่วงแรกๆที่ไม่ได้งาน เคยท้อมากๆโทรร้องไห้กับแม่ รู้สึกว่าเรามาทำอะไรที่นี่ อยู่เมืองไทยก็สบายกว่านี้ แต่ตอนนี้เมื่อมองย้อนกลับไป รู้สึกภูมิใจที่เราสามารถผ่านมาได้ ประสบการณ์โกอินเตอร์ ทำให้เรามีความมั่นใจมากขึ้น จากแต่ก่อนเป็นเด็กขี้อาย จะหลบอยู่หลังคุณแม่ตลอด พอได้ทำงานต่างประเทศ และใช้ชีวิตคนเดียว ก็ทำให้เราโตขึ้น มั่นใจขึ้น และคิดเป็น สอนให้เราทำงานแบบทีมเวิร์กด้วย”