ที่มา: thanonline

เดอะมอลล์ กรุ๊ป ผุดไลฟ์สไตล์คอนเซ็ปต์สโตร์ Another Story (อนาเธอร์ สตอรี่) ตอกย้ำความนิยมของคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งใหม่ ครั้งแรกในประเทศไทย ทุ่มงบกว่า 50 ล้านบาท


บนพื้นที่กว่า 900 ตรม ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิเอ็มควอเทียร์ พร้อมเดินหน้ากลยุทธ์ Customer Engagement Marketing ขนทัพสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น สุดยูนีค (Unique) 8 ประเภท ไม่ว่าจะเป็น ของแต่งบ้าน สเตชั่นเนอรี่สุดเก๋ สินค้าแฟชั่น แอสเซสเซอรี่ ฯลฯ กว่า 160 แบรนด์จากทั่วทุกมุมโลก ที่สินค้าทุกชิ้นต่างมีเรื่องราวโดดเด่น น่าสนใจแตกต่างกัน หวัง เจาะกลุ่มลูกค้าที่รักงานดีไซน์ ไม่ซ้ำใคร มั่นใจยอดขายทะลุ 120 ล้านบาท/ปี

_W1_6686_Small

นางมารีส คราทซ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า “Another Story” คอนเซ็ปต์สโตร์แห่งแรกและแห่งเดียวในเมืองไทย ที่ถือเป็นการทำงานร่วมกันระหว่าผู้บริหารอินเตอร์เนชั่นแนล และผู้บริหารคนไทยคือคุณวิภา อัมพุช ทำให้เกิดความเป็นอินเตอร์เนชั่นแนลที่สามารถเข้าถึงผู้บริโภคคนไทยได้อย่างลงตัว

ซึ่งดิฉันเองก็มีประสบการณ์การทำงานด้านการเงิน ธุรกิจรีเทล และการค้าระหว่างประเทศที่สิงค์โปร์ ฮ่องกงมาก่อนจึงมาปรับใช้กับการสร้างคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งนี้ให้กลายเป็นแหล่งช้อปปิ้งใจกลางกรุงสำหรับคนไทยที่มีวิถีชีวิตแบบ Urban Lifestyle ทุกเพศทุกวัย รวมทั้งนักเดินทางจากทั่วโลก และ สำหรับแนวโน้มความนิยมในสินค้าไลฟ์สไตล์ และแฟชั่นจากทั่วโลก รวมถึงสินค้าของดีไซเนอร์ไทย ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ ยังคงได้รับความสนใจสอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย

ทั้ง Hipster, Trend setter, Expat, Artist, Architect, Designer, และนักเดินทางที่ชื่นชอบสินค้าที่มีความเฉพาะตัว ล้วนแต่ให้ความสำคัญกับดีไซน์และความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร มีความคิดสร้างสรรค์ อิสระทางความคิด ขณะเดียวกัน ราคาสินค้าประเภทดีไซน์และสินค้าประเภทลักช์ชัวรี่นั้น ไม่จำเป็นต้องมีราคาแพงเสมอไป แต่ต้องเป็นราคาที่จับต้องได้

Another Story จึงเป็นไลฟ์สไตล์ช้อปแห่งแรกที่จะทำให้เกิดแรงบันดาลใจใหม่ๆจากสินค้าทั่วโลกที่นำเสนอผ่านแง่มุมต่างๆ ทั้ง ศิลปะ, ดนตรี, แฟชั่น, หนังสือ, ของแต่งบ้าน แกลเลอรี่ภาพถ่าย, คาเฟ่ และเวิร์คช้อป เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์อิสระและไม่ซ้ำใครของคนเมือง และนี่คือที่มาของการนำเอากลยุทธ์ทางการตลาด Customer Engagement Marketing มาใช้เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกค้าทางด้านอารมณ์

รวมถึงกลยุทธ์ Story Telling Marketing strategy โดยลูกค้าสามารถสนุกกับเรื่องราว ที่มาของสินค้าดังกล่าวและยัง แบ่งปันประสบการณ์ผ่านสินค้า อีกทั้งสามารถค้นพบตัวตนของเขาเองจากสินค้าทั้ง 8 ประเภทของเรา ดังนั้น สินค้าทุกชิ้นในร้าน จึงสามารถถ่ายทอดแนวความคิดของดีไซน์เนอร์ มาสู่ลูกค้าที่เลือกสินค้านั้นๆ และด้วยเรื่องราวเหล่านั้นก็ตรงกับไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน”

EyWwB5WU57MYnKOuFqWGtss89GALjCjuC0jVaB3eafTHXfORkBr3Hp

ภาพจาก ไทยรัฐ

นางสาววิภา อัมพุช ผู้จัดการฝ่ายอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจองค์กร บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (Senior Manager Retail Development, The Mall Group) กล่าวว่า “ด้วยประสบการณ์การทำงานที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป มาตลอดทำให้เรารู้ถึงการดำเนินธุรกิจรีเทลเป็นอย่างดี และหลังจากได้รับมอบหมาย พร้อมกับโจทย์ของคอนเซ็ปต์สโตร์ที่นอกจากต้องมีความเป็น Uniqueness แล้วลูกค้ายังต้องสามารถเป็นเจ้าของได้จริง ในราคาไม่สูงจนเกินไป หรือที่เรียกว่า Affordable Design โดยได้หารือกับ คุณมารีสในการคัดสรรสินค้ามาจำหน่ายในคอนเซ็ปต์สโตร์แห่งนี้ เราจึงออกเดินทางไปคัดสรรสินค้ากว่า 15 ประเทศ ทั่วยุโรป เอเชีย ทั้ง อังกฤษ ปารีส เบลเยี่ยม สแกนดิเนเวีย เยอรมนี รวมทั้งตุรกี สเปน กรีซ ฮ่องกง สิงค์โปร์ และที่ขาดไม่ได้ คือ สินค้าที่มาจากดีไซเนอร์ไทย”

นางสาววิภา ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “Another Story” รวบรวมสินค้าไลฟ์สไตล์กว่า 160 แบรนด์ดังจากทั่วโลก 70 เอ็กซ์คลูซีฟแบรนด์จากต่างประเทศ และ 30 แบรนด์แคปซูลคอลเลคชั่น แบ่ง Categories ของสินค้า ออกเป็น 8 ประเภท คือ another Parisian Chic story, another Script story, another Artsy story, another Sandy story, another Tasty story, another Funky story, another Cozy story และ another Lush story

โดยมีสัดส่วนของสินค้าจากต่างประเทศ 60% และสินจากประเทศไทย 40% สินค้าไลฟ์สไตล์และแฟชั่นที่เรารวบรวมมาใน Another Story อาทิ Traveler’s Notebook, American Vintage, Veja,Bensimon, Reiko, Ancient Greek Sandals, Papier Tigre, Troika, Ibride, Haoshi, Serax, Universo Positivo, Ayodhya,Harper,Nimmind, Pain De Sucre, Hipanema, Bakker made with love, BSAB,Plant House, Yellow Korner,เป็นต้น

“บนพื้นที่กว่า 900 ตารางเมตร ชั้น 4 ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ Another Story นำเสนอสินค้าไลฟ์สไตล์แนวใหม่ที่มีความแตกต่างคอนเซ็ปต์ช้อปอื่นๆ ในย่านสุขุมวิท เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค ซึ่งที่ผ่านมาแบบคอนเซ็ปต์สโตร์ถือว่าได้รับกระแสตอบรับที่ดี และเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก

เพราะลูกค้ามีอิสระในการเลือกซื้อ สามารถมิกซ์แอนด์แมตช์สินค้าจากแบรนด์ต่างๆ ให้เหมาะสมกันได้ก่อนตัดสินใจซื้อ และในอนาคตอันใกล้ เราได้ตั้งเป้าจัดกิจกรรมเวิรค์ช้อปร่วมกับเหล่าดีไซน์เนอร์ทั้งไทยและต่างประเทศ นอกจากนี้เรายังได้บิสซิเนสพาร์ทเนอร์อย่าง Yellow Korner แกลอรี่ภาพถ่ายรวมถึง ร้านดอกไม้เก๋ๆ Plant House,Bsab, Issaya, Amatee Bakery,ร้านจำหน่ายไวน์ Wine Garage และร้านชีสและเนยที่มีชื่อเสียงจากฝรั่งเศส Le Beurre Bordier”

สำหรับงบลุงทุนโดยรวมประมาณ 50 ล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 120 ล้าน/ปี โดยใช้งบการตลาดประมาณ 10 % ของยอดขาย นอกจากนี้ด้านแผนการตลาดเน้นการสื่อสารเข้าถึงผู้บริโภคให้ได้มากที่สุดโดยใช้สื่อประชาสัมพันธ์ทั้งออนไลน์และออฟไลน์มีเดีย และย้ำเน้นสื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย เนื่องจากเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

เรื่องน่าสนใจ