ที่มา: dodeden

นาวาอากาศตรีนายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (กรมสบส.) กระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า  ขณะนี้บริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ ได้กลายเป็นช่องทางหาเงินของธุรกิจนอกกฎหมาย 

โดยฉวยโอกาสไปให้บริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ให้แก่องค์กรหน่วยงาน สถานศึกษา ที่ไม่สะดวกให้บุคลากรหรือนักเรียนจำนวนมากเดินทางไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลตามสัญญาประกันสุขภาพหรือตรวจสุขภาพประจำปีที่เรียกว่าเช็คอัพ ( Check up )

Medical-Check-Up-on-Lifeline-Express-Hospital-Train-2

ซึ่งกรมสบส.ได้รับการร้องเรียนหลายจังหวัด  โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีโรงงานอุตสาหกรรม เช่น ลำพูน พระนครศรีอยุธยา ฉะเชิงเทรา เป็นต้น   จึงขอย้ำเตือนให้สถานพยาบาลเอกชนที่จัดบริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ ปฏิบัติตามกฎหมายคือพระราชบัญญัติสถานพยาบาลพ.ศ.2541อย่างเคร่งครัด  เพื่อให้ผลการตรวจสุขภาพมีความถูกต้อง แม่นยำ ให้ผลดีแก่ประชาชนได้รับรู้สถานะสุขภาพของตนเอง นำมาสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อแก้ไขป้องกันการป่วย หรือได้รับรักษาอย่างถูกต้องเหมาะสม

g2vvsliqwfne

อธิบดี กรมสบส.กล่าวว่า สถานพยาบาลที่สามารถจัดบริการตรวจสุขภาพเคลื่อนที่ได้  จะต้องเป็นสถานพยาบาลหรือเป็นโรงพยาบาลที่มีเตียงรับผู้ป่วยค้างคืนเท่านั้น  คลินิกทั่วไปไม่สามารถดำเนินการได้  จะต้องมีสัญญาระหว่างสถานพยาบาลกับหน่วยงานหรือสถานศึกษาที่ไปตรวจ กำหนดให้รถเอ็กซเรย์ จะต้องมีมาตรฐานได้รับอนุญาตจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ มีนักรังสีเทคนิคเป็นผู้ให้บริการ และมีผลการสอบเทียบคุณภาพมาตรฐานของเครื่องประจำปีด้วย 

กรณีมีการตรวจชันสูตรทางห้องปฏิบัติการ เช่นตรวจเลือด อุจจาระ ปัสสาวะ จะต้องมีนักเทคนิคการแพทย์เป็นผู้ให้บริการ  มีการบันทึกประวัติผู้ใช้บริการ ระบุวัน เวลา สถานที่ และชื่อผู้ประกอบวิชาชีพทั้งหมดที่ออกไปให้บริการ  ซึ่งทุกวิชาชีพต้องมีใบประกอบโรคศิลปะ 

หากไม่มีหลักฐานที่กล่าวมาจะถือว่าเป็นหน่วยตรวจสุขภาพเถื่อน  มีโทษ 2 กระทง คือผู้ดำเนินการสถานพยาบาล จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี  หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับโทษฐานไม่ควบคุมดูแล ปล่อยให้บุคคลอื่นที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะมาประกอบวิชาชีพ    หากปรากฏว่าก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้รับบริการ  อาจสั่งปิดสถานพยาบาลเป็นการชั่วคราวหรือเพิกถอนใบอนุญาต ส่วนผู้ประกอบวิชาชีพที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลปะ จะมีความผิดแตกต่างกันตามสาขา เช่น แพทย์ มีโทษจำคุก 3 ปี ปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ด้านนายแพทย์ธงชัย  กีรติหัตถยากร รองอธิบดี กรมสบส.กล่าวว่า  สถานประกอบการหรือสถานศึกษาที่จะทำสัญญาว่าจ้างสถานพยาบาลเอกชนไปตรวจสุขภาพ  ก่อนทำสัญญาขอให้ตรวจสอบหลักฐานสถานพยาบาล 2 ส่วน

ได้แก่ ใบอนุญาตประกอบกิจการสถานพยาบาล  และใบอนุญาตผู้ดำเนินการสถานพยาบาลประเภทรับผู้ป่วยค้างคืน ซึ่งออกโดยกรมสบส. ขณะนี้มีโรงพยาบาลเอกชนที่ได้รับอนุญาตและขึ้นทะเบียนที่กรมสบส.ทั่วประเทศ 347 แห่ง

สามารถตรวจสอบชื่อที่ตั้งและแพทย์ที่ได้รับอนุญาตดำเนินการได้ที่เว็บไซต์สำนักสถานพยาบาลและการประกอบโรคศิลปะ  www.hss.moph.go.th  จะต้องแสดงหนังสือแจ้งการให้บริการ  มีรายชื่อผู้ให้บริการและหลักฐานใบประกอบโรคศิลปะของผู้ประกอบวิชาชีพแต่ละสาขา ใบอนุญาตรถเอ็กซเรย์จากสำนักงานพลังงานปรมาณูเพื่อสันติ พร้อมแสดงใบแสดงผลการสอบเทียบเครื่องเอ็กซเรย์ประจำปีจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์

ส่วนในวันที่ตรวจสุขภาพจริง ขอให้ผู้บริหารสถานประกอบการ หรือสถานศึกษา ตรวจสอบบุคลากรที่ให้บริการในวันนี้ว่าตรงกับรายชื่อที่สถานพยาบาลแจ้งไว้หรือไม่  หากไม่ตรง ขอให้แจ้งที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดในพื้นที่  หรือแจ้งที่สายด่วนคุ้มครองผู้บริโภคด้านบริการสุขภาพ กรมสบส. หมายเลข 02-193-7999 ทันที เพื่อดำเนินการทางกฎหมายทันที

ภาพจาก mangalorean

เรื่องน่าสนใจ