ธรรมชาติ ชะลอวัย

01

คำว่าอายุเป็นเพียงตัวเลข ดูจะไม่เป็นคำกล่าวที่เกินจริงสักเท่าไร
เพราะภาพของผู้หญิงรอยยิ้มสดใสตรงหน้าท่านผู้อ่านในขณะนี้ คือภาพของ คุณหญิงพรรณทอง มณีศิลป์ ภริยาของอดีตผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.อ.อ. ปอง มณีศิลป์ ที่ถึงแม้วันนี้ อายุจะเดินทางเข้าสู่ตัวเลข 68 แล้ว แต่ท่านยังคงดูอ่อนเยาว์ อารมณ์ดี ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และที่สำคัญ ท่านยังเป็นเจ้าของสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่แพ้คนวัยหนุ่มสาว

เมื่อทีมงาน ชีวจิต ได้มีโอกาสเดินทางมาพูดคุยกับท่านอย่างใกล้ชิดถึงบ้านพักในจังหวัด อุบลราชธานีแบบนี้ ทำให้เรายิ่งสัมผัสได้ถึงความเบิกบานที่ฉายผ่านแววตาของท่าน จนทำให้นึกสงสัยว่า อะไรคือเคล็ดลับในการดูแลตัวเองทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ที่ทำให้ท่านไม่มีโรคประจำตัวใดๆมาสร้างความรำคาญใจเลย ซึ่งเมื่อ ชีวจิต เอ่ยถามคำถามนี้ออกไปเพื่อคลายความสงสัย ท่านก็รีบให้คำตอบทันทีว่า “อันดับแรก ต้องไม่คิดว่าตัวเองแก่” พร้อมกับส่งเสียงหัวเราะอย่างเป็นกันเอง

เลือกเมนูธรรมชาติครบ 3 มื้อ หนังสือเรื่อง “ชีวจิต ชีวิตที่เข้าใจธรรมชาติ” ของ อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง บอกไว้ว่า “อาหารที่เรากินเข้าไปในชีวิตประจำวันถือเป็นยาชะลอความแก่ชั้นดี เพราะการกินอาหารจากธรรมชาติ ถือเป็นการให้อาหารที่ดีต่อนิวเคลียสซึ่งเปรียบดังหัวใจของเซลล์ด้วย

“การกินอาหารจากธรรมชาติ ปราศจากสารพิษ จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ อันเป็นต้นเหตุของความแก่ชราได้” วิถีชีวิตของคุณหญิงพรรณทองก็คงไม่ต่างจากคำกล่าวของอาจารย์สาทิสในข้างต้น เพราะสิ่งหนึ่งที่ท่านยึดถืออยู่เสมอ คือเรื่องการกินอาหารจากธรรมชาติ ที่ให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างแท้จริง

“ปกติตื่นนอนประมาณตี 5 เมื่อตื่นขึ้นมาสัก 2 – 3 ชั่วโมง ต้องกินอาหารเช้าทุกวัน โดยเน้นโปรตีนเป็นหลัก เช่น น้ำเต้าหู้ หรือพวกโปรตีนจากพืช ซึ่งเป็นโปรตีนที่ย่อยง่าย แต่เวลากินอาหารเช้า ต้องคิดเหมือนกันว่า อาหารที่กินเข้าไปเพียงพอหรือยัง สามารถนำพลังงานจากมื้อนี้ไปใช้ในการทำงานได้ถึงตอนเที่ยงเลยหรือเปล่า

“ส่วนมื้อกลางวัน ชอบทำอาหารกินเอง ส่วนใหญ่จะอบอะไรกินง่ายๆ เหมือนเป็นมื้อที่ให้รางวัลกับตัวเอง พอตกเย็น ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ใช้พลังงานแล้ว จะเน้นกินอาหารที่มีเส้นใยเป็นหลัก ถ้าเป็นผักก็กินเป็นสลัดหรือเอามาต้มบ้าง นึ่งบ้าง แต่ถ้าเป็นผลไม้ โดยมากจะกินผลไม้ที่ช่วยบำรุงสายตา เช่น มะละกอ เพราะตอนนี้ตัวเราเองมีปัญหาเรื่องสายตาอยู่ ซึ่งก็เป็นไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น

“เดี๋ยวนี้ เวลาจะกินอะไรทั้งทีจึงไม่ได้นึกถึงความอร่อยเลย แต่เน้นประโยชน์มากกว่า เช่นที่บอกไปว่า มื้อเช้าเลือกกินโปรตีนเป็นหลัก เพราะโปรตีนเป็นเหมือนเชื้อเพลิงที่ทำให้เซลล์พร้อมทำงาน เราจะคิดเสมอว่าสุขภาพต้องมาก่อน แต่ต้องกินอย่างพอดีด้วย ไม่งั้นอาจกลายเป็นโทษได้”

นอกจากนี้ ท่านยังเป็นคนหนึ่งที่ชื่นชอบแนวคิดในการทำการเกษตรแบบพึ่งตนเอง ซึ่งการปลูกเอง กินเอง ทำให้ท่านหมดห่วงเรื่องสารพิษที่อาจมาพร้อมกับอาหาร “เราสังเกตเห็นว่า พ่อแม่และญาติๆอายุยืนเกือบร้อยปีกันหมดทุกคน ซึ่งคงเป็นเพราะคนสมัยก่อนฉลาด รู้จักทำการเกษตร ปลูกผักกินเอง ไม่มียาฆ่าแมลงเหมือนทุกวันนี้

“นี่จึงเป็นแนวคิดหนึ่งที่ทำให้สนใจเรื่องการทำการเกษตร อย่างในบ้านหลังนี้ (ที่จังหวัดอุบลราชธานี) จะมีแปลงนาปลูกข้าวของเราเองอยู่หลังบ้าน รวมทั้งมีการปลูกพืชสมุนไพร เช่น ขมิ้น กระชายดำ ฟ้าทะลายโจร ไว้กินเองด้วย”

สู้ป่วย ด้วยสูตรสมุนไพร

คุณหญิงเล่าให้ฟังต่อว่า ด้วยความที่คุณตาเป็นหมอชาวบ้าน ทำให้ท่านสนใจเรื่องสุขภาพมาตั้งแต่เด็ก และเชื่อมาตลอดว่า เวลาเจ็บป่วย ร่างกายคนเราสามารถรักษาตัวเองได้ โดยไม่ต้องกินยาเสมอไป
“จำได้ว่า สมัยก่อน เวลาหมอโบราณรักษาคนไข้ เขาจะเอารากไม้มาฝน ไม่มียาเป็นเม็ดๆเหมือนในปัจจุบัน อย่างตอนเด็กๆ เวลาปวดท้อง หรือท้องอืดท้องเฟ้อ ยายจะเอาขมิ้นมาฝน แล้วผสมน้ำปูนใสให้กิน เหมือนกับว่า เราได้รับการปลูกฝังมาตั้งแต่เด็ก ทุกวันนี้ เวลาเจ็บป่วยจึงไม่ค่อยได้พึ่งยาเลย แต่อาศัยกินขมิ้นหรือสมุนไพรแทน

“บางทีอาศัยอ่านจากหนังสือ เพราะสิ่งที่เราไม่รู้ คนอื่นเขาอาจจะรู้ เช่นเวลาเจ็บป่วย เราควรดูแลสุขภาพอย่างไร เมื่อไม่นานนี้ก็เพิ่งอ่านเรื่องหญ้าปักกิ่งกับใบหญ้านางใน ชีวจิต มา (หัวเราะ) การอ่านหนังสือจะช่วยไขข้อคาใจได้มาก”

นอกจากนี้ ท่านยังเชื่อว่า วิธีป้องกันป่วยคือการพยายามดูแลตัวเองให้ดี แล้วภูมิชีวิตหรืออิมมูนซิสเต็มจะเกิดขึ้นตามมา
“ถ้าสมมติเจ็บป่วยเป็นอะไร เช่นเป็นหวัด โรคนี้รักษาไม่หาย ดังนั้น เราต้องดูแลตัวเองเป็นประจำ เพื่อให้ร่างกายสร้างอิมมูน (Immune) อาจจะกินวิตามินเสริมบ้าง แล้วก็ดื่มน้ำให้พอเพียง
“เมื่อเจ็บป่วยเป็นอะไรขึ้นมา สิ่งที่ควรทำมากกว่าจึงเป็นการย้อนกลับมารักษาสุขภาพของตัวเอง เพื่อไม่ให้อาการทรุดลง เหมือนเราต้องสร้างเกราะคุ้มกันโรคให้ตัวเอง ต้องพึ่งตัวเองก่อนด้วย ไม่ใช่ว่าจะพึ่งหมออย่างเดียว”

กาย – ใจแกร่ง เพราะต้นไม้

ขณะทีมงานเดินหาสถานที่สำหรับเก็บภาพสวยๆของคุณหญิง ท่านพาเราเดินสำรวจรอบบ้านพักของท่าน ซึ่งเป็นบ้านทรงไทยประยุกต์หลังใหญ่ ภายในรั้วบ้าน เต็มไปด้วยต้นไม้ พืชสมุนไพร และดอกไม้หลากหลายสายพันธุ์ อีกทั้งด้านหลังของตัวบ้านยังอยู่ติดกับทุ่งนาผืนใหญ่ ตลอดระยะเวลาที่เดินไปรอบๆบ้าน ท่านชี้ชวนให้ทีมงานดูต้นไม้หลายสิบต้นที่ท่านเลี้ยงดูมาจนกลายเป็นต้นสูง ใหญ่ ท่านเล่าต่อว่า ในแต่ละวัน ต้นไม้คือสิ่งแรกที่ได้พบเจอตั้งแต่ลืมตาตื่น ซึ่งสีเขียวของต้นไม้ ไม่เพียงแต่ให้ความรู้สึกสดชื่น แต่การได้ลงมือลงแรงปลูกต้นไม้เองกับมือ ถือเป็นการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง ซึ่งช่วยสร้างความแข็งแรงต่อทั้งร่างกายและจิตใจ

“ตอนเช้าๆ อากาศดี จะชอบตื่นมารดน้ำต้นไม้ เวลารดน้ำ เราก็ได้ออกแรงไปด้วย ยิ่งในบ้านมีต้นไม้เยอะอยู่แล้ว กว่าจะเดินไล่รดน้ำจนครบทุกต้น กินเวลาหลายสิบนาที บางทีจึงไม่จำเป็นต้องออกไปไหน ออกกำลังกายกับต้นไม้ในบ้านตัวเองนี่แหละ”

การได้อยู่กับต้นไม้ทุกๆวัน ยังถือเป็นความสุขอย่างหนึ่งของท่าน ซึ่งไม่อาจวัดคุณค่าได้ด้วยเงินทองหรือของนอกกาย “ต้นไม้สอนให้รู้ว่า ความสุขของคนไม่ได้ขึ้นอยู่กับฐานะ เพราะแค่คุณมีต้นไม้อยู่ในบ้านหรือว่าคุณทำงานกับต้นไม้ ไม่ต้องไปใส่เพชรใส่พลอย คุณก็มีความสุขได้ เพราะต้นไม้ช่วยเติมเต็มจิตใจให้กับเรา ปลูกไว้ดูเองก็มีความสุข ถ้าคนอื่นมาดูด้วยก็ยิ่งดี เหมือนได้ทำให้เขามีความสุขไปพร้อมกับเรา”

นอกจากนี้ ท่านบอกกับเราอีกว่า การโน้มนำจิตใจให้เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีส่วนช่วยสร้างสมาธิให้กับมนุษย์ได้เป็นอย่างดี “ไม่ใช่แค่ได้ความสบายใจ แต่การปลูกต้นไม้สักต้น ยังทำให้เราได้ใช้จินตนาการ ได้นั่งคิดเพลินๆว่า ต้นไม้ต้นนี้ โตขึ้นมา หน้าตาจะเป็นแบบไหน ส่วนใหญ่จึงชอบซื้อต้นไม้มาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ออกดอก เราจะได้ดูการเจริญเติบโตของมันตั้งแต่แรก

“การต้องเอาใจใส่กับต้นไม้จนกว่ามันจะโตนี่แหละ คือการฝึกสมาธิอย่างดี เพราะถ้าเราอยากให้ต้นไม้ออกดอก เราต้องดูแล จดจ่ออยู่กับเขา ขณะนั้นเราต้องอาศัยความอดทน ใจเย็น เพื่อรอวันที่มันออกดอก ซึ่งเมื่อวันนั้นมาถึง เราเองจะชื่นใจที่ได้ชมความสวยงาม อันเกิดจากน้ำพักน้ำแรงของเรา”

หากอยากเป็นเจ้าของใบหน้าอ่อนเยาว์ อารมณ์แจ่มใส และไม่มีโรคภัย แค่ลองหาเวลาอยู่กับธรรมชาติให้มากขึ้นอีกนิด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้เล็กๆไว้ในรั้วบ้าน กินอาหารจากธรรมชาติ ดื่มน้ำที่ไม่ผ่านการปรุงแต่งรส หรือวิธีการใดก็แล้วแต่ ไม่แน่ว่า เราอาจได้พบ “เพื่อนสนิท” คนใหม่ ที่ช่วยเติมเต็มร่างกายและจิตใจให้แข็งแรงกว่าเดิม

เทคนิคช่วยอ่อนกว่าวัย

• เข้านอนตั้งแต่หัวค่ำ และตื่นประมาณตี 5 ทุกวัน เพื่อฝึกให้ร่างกายขับถ่ายของเสียในช่วงเช้าเป็นประจำ ทำให้สดชื่นขึ้น
• แบ่งเวลาให้ตัวเองได้พักผ่อนอยู่เสมอ อย่าโหมงานหนักเกินไป วิธีพักผ่อนง่ายๆคือ ฟังเพลงคลาสสิค ดูงานศิลปะสวยๆงามๆ ดูรายการทีวีที่ชอบ
• วางแผนการทำงาน โดยเขียนตารางกิจกรรมที่ต้องทำใน 1 สัปดาห์ และลิสต์รายการว่าอะไรควรทำก่อนและหลัง หากทำไม่ไหวควรขอความช่วยเหลือ หรือกระจายงานให้คนอื่นช่วยทำ อย่าแบกทุกอย่างไว้คนเดียว เพราะจะทำให้เครียดโดยไม่รู้ตัว
• อัพเดตความรู้ใหม่ๆให้ตัวเองเสมอ สังเกตคนรุ่นใหม่ว่ากำลังสนใจเรื่องอะไร โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใด เพื่อให้เราเป็นคนสูงวัยที่ไม่ตกยุค

ขอบคุณที่มาจาก หนังสือชีวจิต

เรื่องน่าสนใจ