ผลการทดลองแท็คเคิล (TACKLE) การศึกษาระยะที่ 3 สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 ในกลุ่มผู้ป่วยนอก แสดงให้เห็นว่า Evusheld ของแอสตร้าเซนเนก้า (เดิมชื่อ AZD7442 ส่วนผสมระหว่างแอนติบอดีออกฤทธิ์ยาวสองชนิด ได้แก่ tixagevimab และ cilgavimab) สามารถป้องกันการการเกิดโรคแบบรุนแรง หรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุ ได้อย่างมีนัยสำคัญทางคลินิกและทางสถิติ เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) โดยการรักษาด้วย Evusheld ในระยะเริ่มต้นของโรคนั้น สามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น

การทดลองแท็คเคิลดำเนินการศึกษาผู้ร่วมโครงการที่เป็นผู้ป่วยนอกโรคโควิด-19 ซึ่งมีอาการเล็กน้อยถึงปานกลางในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน นอกจากนั้น 90% ของผู้เข้าร่วมโครงการมีโรคประจำตัวและภาวะต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อรุนแรงจากโรคโควิด-19 หรือเป็นผู้สูงอายุ

 

Evushild

 

ฮิวจ์ มอนต์โกโมรี ศาสตราจารย์ประจำภาควิชาเวชบำบัดผู้ป่วยหนัก มหาวิทยาลัยคอลเลจลอนดอน และหัวหน้าทีมวิจัยของโครงการแท็คเคิล กล่าวว่า “ถึงแม้การใช้วัคซีนป้องกันโควิด-19 จะประสบผลสำเร็จในวงกว้าง แต่ยังมีประชากรจำนวนมากที่ยังมีความเสี่ยงสูงในการเกิดโรครุนแรง เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว และผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ดังนั้นวิธีการอื่นๆ จึงมีความจำเป็นเพื่อป้องกันการดำเนินของโรค และลดภาระของระบบสาธารณสุข โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเกิดขึ้นของสายพันธุ์ใหม่ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง การทดลองแท็คเคิลแสดงให้เห็นว่าการฉีด Evusheld เข้ากล้ามเนื้อหนึ่งโดสสามารถป้องกันการดำเนินของโรคโควิด-19 ไปสู่ขั้นรุนแรงได้ ซึ่งการได้รับยาเร็วขึ้นจะส่งผลดีต่อการรักษามากขึ้น”

เซอร์ เมเน แพนกาลอส รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนาด้านยาชีวเภสัชภัณฑ์ (Biopharmaceuticals) ของแอสตราเซนเนก้า กล่าวว่า “ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet Respiratory Medicine เป็นอีกหนึ่งข้อมูลสนับสนุนการใช้ Evusheld เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการการป้องกันโรคโควิด-19 มากกว่าคนทั่วไป ซึ่งขณะนี้ได้มีการหารือเกี่ยวกับข้อมูลจากการศึกษานี้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีการยื่นพิจารณาการขึ้นทะเบียนยาในข้อบ่งชี้ทั้งในทางการรักษาและการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อสู้กับโรคโควิด-19 ในทุกๆด้าน”

ผลลัพธ์หลัก (primary endpoint) ของการทดลองแท็คเคิล พบว่า ยา Evusheld สำหรับฉีดเข้ากล้ามเนื้อ 1 โดส ขนาด 600 มก. สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรคแบบรุนแรง หรือการเสียชีวิต (จากทุกสาเหตุ) ได้ถึง 50% (95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 15, 71; p=0.010) หลังการได้รับยาไปแล้ว 29 วัน เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) ในผู้ป่วยนอก ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และมีอาการในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน

จากการวิเคราะห์แบบ pre-specified ผู้ป่วยโควิด-19 ที่แสดงอาการ และได้รับยาภายในช่วง 3 วันแรก พบว่า Evusheld สามารถลดความเสี่ยงในการเกิดโรครุนแรง หรือเสียชีวิต (จากทุกสาเหตุ) ได้ถึง 88% เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก (Placebo) (95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 9, 98) และยังลดความเสี่ยงถึง 67% (95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 31, 84) ในกลุ่มที่ได้รับยาภายใน 5 วันหลังแสดงอาการ1

นอกจากนี้ ในรายงานผลลัพธ์รอง (secondary endpoint) Evusheld ยังสามารถลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะหายใจล้มเหลว ได้ถึง 72% (95% ช่วงความเชื่อมั่น (CI) 0.3, 92; nominal p=0·036) โดยมีผู้รับ Evusheld 3 คน (0.7%) เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ได้รับยาหลอก 11 คน (3%) ที่ต้องอาศัยการรักษาด้วยเครื่องมืออื่นๆ อาทิ เครื่องช่วยหายใจ หรือเครื่องหัวใจ-ปอดเทียมแบบเคลื่อนย้าย (ECMO)1.

จากการศึกษาแท็คเคิล Evusheld มีผลข้างเคียงที่ยอมรับได้ดี โดยพบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ (AEs) ในกลุ่มที่ได้รับยาหลอกมากกว่ายา Evusheld (36% และ 29% ตามลำดับ) เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่พบได้คือภาวะปอดอักเสบในผู้ป่วยโรคโควิด-19 ซึ่งเกิดขึ้นในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก 49 คน (11%) และในกลุ่มที่ได้รับ Evusheld 26 คน (6%) สำหรับเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ระดับรุนแรงนั้นเกิดขึ้นในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก 12% และในกลุ่มที่ได้รับ Evusheld1 7% โดยมีรายงานผู้เสียชีวิต 6 รายในกลุ่มที่ได้รับยาหลอก และ 3 รายในกลุ่มที่ได้รับ Evusheld1

TACKLE
การทดลองแท็คเคิล (TACKLE) เป็นการทดลองในระยะที่ 3 แบบสุ่ม ปกปิดข้อมูลทั้งสองทาง และศึกษาควบคุมด้วยยาหลอก ภายในศูนย์ทดลองหลายแห่ง เพื่อให้ทราบถึงความปลอดภัยและประสิทธิภาพของการใช้ยา Evusheld 1 โดส ขนาด 600 มิลลิกรัม ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เปรียบเทียบกับการใช้ยาหลอกในการรักษากลุ่มผู้ป่วยนอกจากโรคโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง ซึ่งการทดลองดังกล่าวได้ถูกดำเนินการในศูนย์การทดลอง 95 แห่ง ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา, กลุ่มประเทศลาตินอเมริกา, ทวีปยุโรป และประเทศญี่ปุ่น มีผู้เข้าร่วมโครงการเป็นจำนวน 903 คน โดยสุ่มผู้ที่ได้รับยา Evusheld หรือ ได้รับน้ำเกลือเป็นยาหลอก ในอัตราส่วน 1:1 โดยมีจำนวนกลุ่มตัวอย่างที่ได้รับยา Evusheld เป็นจำนวน 452 คน และมีกลุ่มตัวอย่างที่ได้น้ำเกลือเป็นยาหลอกจำนวน 451 คน ซึ่งเป็นการฉีดเข้ากล้ามเนื้อสองจุดต่อเนื่องกัน

ผู้เข้าร่วมโครงการเป็นผู้ป่วยที่ติดเชื้อโควิด-19 ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง และแสดงอาการในระยะเวลาไม่เกิน 7 วัน แบบที่ไม่ต้องเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการต้องได้รับเอกสารยืนยันการติดเชื้อ SARS-CoV-2 ด้วยวิธีทดสอบเชื้อทางโมเลกุล (การตรวจแอนติเจนหรือกรด นิวคลีอิก) จากการเก็บตัวอย่างทางระบบทางเดินหายใจ (เช่น ทางช่องปาก ช่องจมูก หรือ น้ำมูก หรือ น้ำลาย) ซึ่งเป็นการเก็บตัวอย่างเชื้อมาไม่เกิน 3 วัน ก่อนวันที่เข้าร่วมโครงการ ผู้เข้าร่วมจะต้องไม่ใช่ผู้ที่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 มาแล้ว ณ วันที่คัดกรอง

ประสิทธิภาพระดับปฐมภูมิประกอบไปด้วยการมีอาการจากการติดเชื้อโควิด-19 แบบรุนแรง หรือการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุที่เกิดขึ้นในช่วง 29 วัน โดยผู้เข้าร่วมโครงการจะถูกติดตามต่อไปจนครบ 15 เดือน

ผู้เข้าร่วมโครงการราว 13% มีอายุตั้งแต่ 65 ขึ้นไป นอกจากนี้ 90% ของผู้เข้าร่วมโครงการมีโรคประจำตัวและภาวะต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดอาการรุนแรงจากการติดเชื้อโควิด-19 ซึ่งรวมถึง โรคมะเร็ง, เบาหวาน, โรคอ้วน, โรคปอดเรื้อรัง หรือ โรคหอบ, โรคหัวใจและหลอดเลือด หรือโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 62% เป็นชนผิวขาว/คอเคซอยด์ , 4% เป็นชาวแอฟริกันอเมริกัน, 6% เป็นชาวเอเชีย, 24% เป็นชนพื้นเมืองอเมริกัน และ 52% เป็นชาวละติน

ก่อนหน้านี้ทางแอสตร้าเซนเนก้าได้ประกาศผลลัพธ์เบื้องต้นที่ดีจากการทดลองแท็คเคิล (TACKLE) การศึกษาระยะที่ 3 เพื่อใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ที่มีอาการเล็กน้อยถึงปานกลาง

Evusheld
Evusheld เดิมชื่อ AZD7442 คือ แอนติบอดีออกฤทธิ์ยาว (Long-acting Antibody – LAAB) ที่ผสมยา LAAB สองชนิด ได้แก่ tixagevimab (AZD8895) และ cilgavimab (AZD1061) ซึ่งมาจากบีเซลล์ที่ได้รับการบริจาคจากผู้ที่เคยป่วยจากเชื้อไวรัส SARS-CoV-2 ซึ่งถูกค้นพบโดยศูนย์การแพทย์ของมหาวิทยาลัยแวนเดอร์บิวท์ และได้อนุญาตให้แอสตร้าเซนเนก้านำมาพัฒนาต่อเมื่อเดือนมิถุนายนปี 2563 โมโนโคลนอลแอนติบอดีของมนุษย์ 2 ตัวนี้จะมีความจำเพาะที่ต่างกัน เพื่อจับกับโปรตีนหนามของเชื้อไวรัสโควิด-19 หรือ SARS-CoV-27 ในคนละจุด2 และถูกพัฒนาต่อโดยแอสตร้าเซนเนก้า เพื่อขยายระยะเวลาครึ่งชีวิต(half-life) เพื่อเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ และปรับให้มีการจับกันของ Fc Receptor และ Complement ชนิด C1q ที่ลดลง3 10 โดยการขยาย half-life นั้น สามารถเพิ่มความยืนยาวของแอนติบอดี้ได้มากกว่าสามเท่าเมื่อเทียบกับแอนติบอดี้ทั่วไป4-6 จากข้อมูลของการทดลองในระยะที่ 3 แสดงให้เห็นว่าระดับของแอนติบอดีที่สามารถยับยั้งการเพิ่มจํานวนของไวรัส (neutralizing antibody) คงอยู่ได้เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน7และการปรับให้มีการจับของ Fc Receptor ที่ลดลงนั้นสามารถลดความเสี่ยงต่อภาวะ antibody-dependent enhancement (ADE) ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ที่แอนติบอดี้ของเชื้อไวรัสเข้าไปกระตุ้นแทนที่จะยับยั้งการติดเชื้อ8

มีหลักฐานค้นคว้าในหลอดทดลองและการทดลองในสิ่งมีชีวิต (แบบใช้สัตว์) ที่แสดงให้เห็นว่ายา Evusheld สามารถป้องกันการติดเชื้อจากสายพันธุ์ย่อยโอมิครอน และสายพันธุ์ที่เป็นกังวลทั้งหมดที่ได้รับการทดสอบจนถึงตอนนี้9-13 จากการศึกษาของคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ยังยืนยันถึงประสิทธิภาพของ Evusheld ในการลบล้างฤทธิ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ย่อย BA.2 ซึ่งปัจจุบันเป็นสายพันธุ์ที่ระบาดทั่วโลก9-14 และผลการศึกษายังแสดงให้เห็นว่า Evusheld ลดปริมาณเชื้อไวรัสและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อในปอดต่อทุกสายพันธุ์ย่อยของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน BA.1, BA.1.1 และ BA.29 การศึกษาพรีคลินิกครั้งใหม่จากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด พบว่า Evusheld ลบล้างฤทธิ์ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.513 ได้ไม่ต่างกัน

ยา Evusheld ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาในสหภาพยุโรป และได้รับการขึ้นทะเบียนวางจำหน่ายแบบมีเงื่อนไขจากหน่วยงานกำกับดูแลยาและผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ (MHRA) ของสหราชอาณาจักร สำหรับใช้เพื่อการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ยา Evusheld การขึ้นทะเบียนให้นำมาใช้ในภาวะฉุกเฉินสำหรับการป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อไวรัสก่อโรคโควิด-19 ในประเทศสหรัฐอเมริกาและยังได้รับอนุญาตให้นำมาใช้ และจำหน่ายในหลายประเทศทั่วโลก ทั้งนี้บริษัทกำลังดำเนินการยื่นทะเบียนยา Evusheld ไปยังหลายประเทศเพื่อการอนุมัติใช้ทั้งในแง่ของการป้องกัน และการรักษาโรคโควิด-19

ยา Evusheld ที่กำลังพัฒนาอยู่นี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา รวมไปถึงเงินทุนจากหน่วยงานด้านสุขภาพและบริการมนุษย์ของสหรัฐฯ ภายใต้การกำกับดูแลของ Office of the Assistant Secretary for Preparedness and Response และ Biomedical Advanced Research and Development Authority ภายใต้ความร่วมมือกับกระทรวงกลาโหม และ Joint Program Executive Office for Chemical, Biological, Radiological and Nuclear Defense ภายใต้สัญญาหมายเลข W911QY-21-9-0001 ภายใต้ข้อตกลงกับแวนเดอร์บิวท์ แอสตร้าเซนเนก้าจะจ่ายส่วนแบ่งค่าสิทธิจากยอดขายในอนาคต

เกี่ยวกับ แอสตร้าเซนเนก้า
แอสตร้าเซนเนก้า (ชื่อย่อหลักทรัพย์ AZN ในตลาดหลักทรัพย์ LSE/ STO/ Nasdaq) เป็นบริษัทชีวเภสัชภัณฑ์ชั้นนำระดับโลก มุ่งเน้นทางด้านการคิดค้น พัฒนา และจำหน่ายยาเพื่อการรักษาโรค โดยเฉพาะในกลุ่มยาโรคมะเร็ง กลุ่มยาโรคหัวใจ ไต และระบบเผาผลาญ และกลุ่มยาโรคทางเดินหายใจ แอสตร้าเซนเนก้า มีฐานอยู่ที่เมืองเคมบริดจ์ สหราชอาณาจักร และดำเนินธุรกิจในกว่า 100 ประเทศ และมีผู้ป่วยหลายล้านคนทั่วโลกที่ได้รับประโยชน์จากนวัตกรรมยาต่างๆ จากแอสตร้าเซนเนก้า สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาไปยังเว็บไซต์ astrazeneca.com และช่องทางทวิตเตอร์ @AstraZeneca

 

สนใจหาข้อมูลและปรึกษาศัลยกรรมได้ที่นี่

โดดเด่น
ศัลยกรรม
webdodeden

 

ป้ายกำกับ: | |

เรื่องน่าสนใจ