Saxenda ไม่ใช่ยาฉีดลดความอ้วน นี่เป็นความเชื่อแบบผิด ๆ ว่าถ้าฉีดยาตัวนี้แล้วจะช่วยลดน้ำหนักได้ กระแสนี้ได้แพร่กระจายไปในวงกว้าง ทำให้ยาตัวนี้ขายดีจนขาดตลาด
สำหรับกระแสยา Saxenda (ตัวยา liraglutide) ยังคงมีมาอย่างต่อเนื่อง ในรูปแบบการฉีดที่แตกต่างจากยารับประทานทั่วไป และขึ้นชื่อว่ามีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักสูงทำให้ได้รับความนิยมในหมู่ผู้หญิงวัย20-30เป็นอย่างมาก ผอ.คิมซีวาน ผู้อำนวยการคลินิกลดน้ำหนักย่านคังนัม MIDA ได้กล่าวว่ามีคนอยากใช้ยา Saxenda กันเป็นจำนวนมากทำให้สินค้าขาดตลาดอยู่ และตอนนี้ก็อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีสินค้าตัวอย่าง
แต่ว่าข่าวที่แพร่ออกไปว่าเป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการลดน้ำหนักสูงนั้นเป็นความเชื่อที่ผิด มีผู้เชี่ยวชาญออกมาเผยว่ามีการสั่งยาอย่างไม่รอบคอบเพื่อนำไปใช้โดยมีเป้าหมายลดน้ำหนักเพื่อความงามโดยไม่คำนึงถึงค่า BMI ของร่างกาย
Saxenda GLP-1 analogues(สารที่มีโครงสร้างคล้ายอินซูลิน), โดยปกติแล้วGLP-1เป็นฮอร์โมนที่ออกมาในลำไส้เมื่อรับประทานอาหาร เมื่อฮอร์โมนตัวนี้หลั่งออกมาสมองจะสั่งการให้ท้องรู้สึกอิ่ม ซึ่งยาSaxendaก็ใช้หลักการนี้ในการลดน้ำหนัก คือทำให้รู้สึกอิ่ม กดความรู้สึกอยากอาหาร ตัว GLP-1 analogues ของ Saxenda จะทำการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมน GLP-1 และทำให้คงอยู่ในร่างกายเราได้นานขึ้น
ผอ.คิมซีวาน กล่าวว่า ยาไดเอทหลาย ๆ ตัวทั่วไปส่งผลต่อประสาท ทำให้ส่งผลข้างเคียงเช่นนอนไม่หลับ แต่ Saxenda มีข้อดีคือไม่มีผลข้างเคียงเช่นนั้น แต่ว่าผู้ป่วยจะต้องยอมฉีดยาที่ท้องตัวเองทุกวัน และจะต้องเป็นคนรับผิดชอบสุขอนามัยอย่างเช่นการฆ่าเชื้อ การเติมตัวยาด้วยตนเอง ราคาก็สูง ตัวปากกาเข็มฉีดยาราคาอยู่ที่อันละ 130,000-150,000 วอน สามารถใช้ได้เพียง 1 สัปดาห์ เหนือสิ่งอื่นใดคือมีการตำหนิถึงการโอ้อวดสรรพคุณเกินเหตุ
นอกจากนี้ยังได้รับการยืนยันว่ามีผลต่อผู้ป่วยน้ำหนักเกินเท่านั้นด้วย หากดูจากผลวิจัยแล้ว Saxenda จะมีผลเฉพาะผู้ที่มีค่า BMI สูงกว่า 30kg/㎢ ประธานKorean society for the study of obesity ยุนซุนจิบ(อาจารย์แผนกต่อมไร้ท่อ โรงพยาบาล Korea Bucheon St.Mary’s hospital) ได้กล่าวว่าSaxendaเป็นยาที่ใช้ในผู้ป่วยที่มีBMIสูงกว่า27kg/㎢ขึ้นไป เช่น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูงหรือต่ำ
เนื่องจาก Saxenda อยู่ในรูปแบบของเข็มฉีดยา ทำให้มีคนคิดว่าหากฉีดที่ท้อง ต้นแขน ต้นขา จะสามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่แบบนั้น ประธานยุนซุนจิบยังกล่าวอีกว่ายาตัวนี้ออกฤทธิ์ทำให้รู้สึกอิ่ม ลดความอยากอาหาร ทำให้ไม่สามารถลดไขมันเฉพาะส่วนได้
นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงอย่างเช่นอาการคลื่นไส้ อาเจียน ทำให้ต้องใช้วิธีค่อยๆเพิ่มปริมาณยาขึ้นทีละระดับ และใช้เวลาในการปรับตัวประมาณ1เดือน นอกจากนี้หลังจากใช้ยา3เดือนแล้วหากเห็นผลไม่ถึง5%จะถือว่าไม่ได้ผล ต้องหยุดใช้ยา
ผอ.คิมซีวานกล่าวว่า ที่ รพ.ของเราไม่สั่งยาตัวนี้ให้ผู้ป่วยเนื่องจากมีความลำบากและอันตรายจากการฉีดยาด้วยตัวเอง เห็นผลไม่ดีเท่าที่คาดเมื่อเทียบกับราคาที่สูงแล้ว
ประธานยุนซุนจิบ กล่าวว่า มีการสั่งยาSaxendaอย่างไม่รอบคอบมาใช้ในการลดน้ำหนักเพื่อความงาม ซึ่งเรื่องแบบนี้จำเป็นต้องสำนึกด้วยตัวเอง ควรจะต้องทำการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการน้ำหนักเกินอย่างรอบคอบ
ในอีกด้านหนึ่งยาตัวนี้เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยโรคเบาหวานที่กำลังใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดอยู่ นอกจากนี้ผู้ที่มีอายุไม่ถึง 18 ปี ผู้หญิงมีครรภ์ ผู้ให้นมบุตร และผู้ที่เป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ ไม่ควรใช้ยานี้
สำหรับยา Saxenda ผลิตที่เดนมาร์ก บริษัทnovo nordisk (มีเปิดในไทยด้วย) เป็นยาที่เอาไว้ใช้สำหรับคนที่มีปัญหาน้ำหนักเกินหรือคนที่น้ำหนักมากจากเป็นโรค พวกเบาหวาน และเหมาะกับคนที่ BMI มากกว่า 27% (รู้ค่า BMI ก่อนฉีดกันมั้ย ? มันคือการวัดดัชนีมวลร่างกาย Body Mass Index อัตราส่วนระหว่างน้ำหนักต่อส่วนสูง ที่ใช้บ่งว่าอ้วนหรือผอม ในผู้ใหญ่ตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป)
นอกจากนี้การที่ใช้ยาตัวนี้คนไข้ ต้องฉีดที่หน้าท้องโดยตรง และ ระวังเรื่องการติดเชื้อเป็นอย่างมาก ที่คนไข้ทั่วไปคิดว่าถ้าฉีดยาตัวนี้ที่หน้าท้องแขน หรือต้นขา จะทำให้สามารถลด นน. ได้ แต่มันไม่ใช่ ยาตัวนี้ จะส่งผลให้รู้สึกอิ่ม และ ไม่รู้สึกอยากอาหาร ทำให้คนขายบางคนใช้จุดตรงนี้นำมาอวดอ้างสรรพคุณจำหน่ายว่าสามารถใช้ลดความอ้วนได้
ผู้ที่จะสามารถใช้ยาตัวนี้ต้องมีใบสั่งซื้อยาจากแพทย์เท่านั้น เพราะผลข้างเคียงยาค่อนข้างเยอะ เสี่ยงมาก โดยเฉพาะคนที่เป็นไทรอยด์ (ราคา ประมาณ 130,000 วอน/ 5 weeks) ช่วงแรก อาจจะอยากอาเจียน ต้องค่อยๆ ให้ร่างกายปรับสภาพ และ ค่อยๆ เพิ่มยา และหากฉีดติดต่อกันถึง 3 เดือน ถ้า นน. ลดไม่ถึง 5% ถือว่าไม่ได้ผลและควรหยุดยา และห้ามใช้กับคนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี สตรีมีครรภ์และให้นมบุตร คนที่มีโรคไทรอยด์ หรือ คนที่กำลังกินยาลดน้ำตาลในเลือดสูง อาจจะทำให้น้ำตาลในเลือด ตกมากเกินไป ที่สำคัญตามกฎหมายเกาหลี หมอจะต้องเป็นผู้ที่สั่งจ่ายยาให้คนไข้เป็นรายบุคคล
จะใช้ยาอะไรก็ตามพึงระลึกไว้เสมอว่าต้องได้รับคำแนะนำอย่างถูกต้องจากแพทย์เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นโดยความไม่รอบคอบนั้นอาจร้ายแรงเกินที่เราจะคาดคิดได้
ขอบคุณเนื้อหาจาก FB : Jenny Dollita
ขอบคุณที่มาข่าวจาก m.news.naver.com
สนใจหาข้อมูลและปรึกษาศัลยกรรมได้ที่นี่